[ทริป] @Taiwan ~ เดินเล่น 3 อุทยานและทะเลสาบสุริยันจันทรา

ทริปไต้วันนี้เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจเท่าไหร่ เอาเป็นว่าช่วงนี้ไต้หวันกำลังยกเลิกวีซ่าสำหรับชาวไทยที่ต้องเดินทางไปเที่ยว เป็นโปรเจคทดลอง 1 ปีของไต้หวันเขาเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ประมาณว่าถ้ายกเลิกจะมีคนไทเที่ยวเพิ่มขึ้นมั้ย (แน่นอนว่าคนไทยแห่ไปกันเยอะมาก) โดยเฉพาะช่วงที่ไปคือวันหยุดสงกรานต์ 13-18 เมษา ไปที่ไหนก็เจอแต่คนไทย

สำหรับทริปนี้ไปกับทัวร์เช่นเคย ทัวร์เดิมกับที่ซื้อตอนไปฮอกไกโดเมื่อปีที่แล้วคือ Go Holiday (จองผ่าน QETour)

ครั้งนี้ไปทั้งหมด 6 วันเต็มๆ (ออกเดินทาง 7 โมงเช้า วันกลับถึงกรุงเทพ 5 ทุ่ม) ไปเที่ยวเกือบรอบเกาะไต้หวัน ขาดแต่เมืองเกาสงทางภาคใต้

นั่งเครื่องการบินไทย โบอิ้ง777 ไป เป็นเครื่องแบบที่นั่ง 3-3-3 ใหญ่กว่าแอร์บัสเล็กน้อย แต่สำหรับคนตัวใหญ่ก็ถือว่าเล็กอยู่ดี แต่เดินทางไปไต้หวันใช้เวลาประมาณ 3 ชม.เท่านั้น ไม่มากเท่าไหร่ มีเมื่อยเล็กน้อย เนื่องจากไปช่วงวันหยุดยาว ที่นั่งเต็มทั้งเครื่องเลย

สภาพอากาศของไต้หวัน เป็นประเทศเกาะแน่นนอนว่าโอกาสเจอฝนตกมีเยอะมาก แล้วถึงจะไม่เจอฝนส่วนใหญ่ก็จะมีเมฆเยอะ ทริปนี้ของเราโชคดี เจอฝนตกแค่วันเดียวเท่านั้น (ดูพยากรณ์อากาศบอกว่าจะเจอฝน 3-4 วัน) แต่เจอวันแดดแรงๆ แค่ประมาณ 2 วัน สำหรับสายถ่ายรูปก็ออกจะไม่ดีเท่าไหร่ เพราะถ่ายรูปออกมาแล้วสีจะหม่น

เกี่ยวกับไต้หวัน

台灣 Taiwan หรือ ไถวาน (ที่มีแต่คนไทยชาติเดียวที่เรียก "ไต้หวัน") ชื่อเต็มๆ คือ Republic of China ที่เป็นคนละ China กันกับ จีนแผ่นดินใหญ่ People's Republic of China (ไต้หวันเป็นสาธารณรัฐเฉยๆ จีนเป็นสาธารณรัฐประชาชน)

* ใครจะนั่งเครื่องบิน สายการบินประจำชาติของไต้หวันคือ China Airline นะ ส่วนถ้าไปขึ้น Air China อันนั้นจะเป็นของจีน

สนามบินประจำชาติของไต้หวันคือสนามบิน Taoyuan ณ เมืองเถาหยวน (สมัยก่อนชื่อว่าสนามบิน เจียงไคเช็ค แต่ด้วยเหตุผลทางการเมืองว่ารัฐบาลใหม่ไม่ชอบเจียงไคเช็คเลยเปลี่ยนชื่อซะ! แบบนี้ก็ได้เนอะ) เถาหยวนอยู่ติดกับไทเปย์ เมืองหลวงของไต้หวัน

อ้อ สำหรับไต้หวัน ในมุมมองจีนเขาถือว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของเขาล่ะนะ แต่ถือว่าให้ปกครองตนเองได้ แต่สำหรับไต้หวัน เขามองว่าเขาเป็นอีกประเทศนึง แต่ยังไม่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ (เพราะพี่ใหญ่จีนกดดันเอาไว้) ภาษาราชการใช้ภาษาจีนเหมือนกัน แต่จะเป็นการเขียนแบบตัวเต็ม จำนวนขีดจะเยอะกว่าเยอะเลย

โปรแกรมเที่ยวประจำทริป

- (Day 1) นครไทเปย์: อนุสรณ์เจียงไคเช็ค วัดหลงซัน ย่านซีเหมินติง
- (Day 2) เมืองฮวาเหลียน: อุทยานแห่งชาติทาโรโกะ เมืองฮวาเหลียน
- (Day 3) กลับมาไทเปย์อีกรอบ: อนุสรณ์จงเลี่ยฉือ ตึกไทเปย์101 พิพิฒพัณฑ์กู้กง ตลาดกลางคืนซื่อหลิน
- (Day 4) รอบๆ ไทเปย์: อุทยานหินประหลาดเยว่หลิว หมู่บ้านโบราณจิ่วเฟิน อาบน้ำร้อนที่เมืองไถหนาน
- (Day 5) เมืองหนานโถว: ทะเลสาบสุริยันจันทรา วัดเหวินอู่ วัดพระถังซัมจั๋ง
- (Day6) เมืองเจียอี้: ดูพระอาทิตย์ขึ้นที่เขาอาหลี่ซาน นั่งรถไฟโบราณ ทางเดินป่าสน

การเตรียมตัว

เสื้อผ้า การแต่งกาย

ไต้หวันฝนตกเยอะ และตกได้ตกดีตลอดทั้งปี ดังนั้นสิ่งที่ต้องเตรียมไปอย่างแรกเลยคือร่ม สำหรับเสื้อฝนอาจจะไม่เหมาะเท่าไหร่ เพราะมันตกไม่แรง ตกๆ หยุดๆ แต่ถ้าไม่ชอบร่มอาจจะหาซื้อเสื้อนอกแบบมีฮู้ดกันน้ำประมาณ Down Jacket ไป ของเราซื้อของ uniqlo แบบนี้ไป ผ้าบางมาก เหมือนผ้าที่ใช้ทำร่มเลย กันน้ำกันลมได้ระดับนึง แต่ไม่กันหนาวนะ (ใครขี้หนาวไม่แนะนำ) ช่วงที่ไปเป็นฤดูใบไม้ผลิกำลังจะเข้าฤดูร้อน อุณหภูมิประมาณ 20 องศา กำลังดี เดินแล้วไม่เหนื่อยมาก ยกเว้นวันที่ขึ้นเขาอาหลี่ซานอุณหภูมิตอนเช้าก็ซักไป 12 องศา แต่ตอนสายๆ ก็กลับมาปกติ

ต่อเนื่องจากข้อแรก การใส่รองเท้า ถ้าเป็นผ้าใบแนะนำว่าเป็นแบบกันน้ำเล็กน้อยก็ดี ไม่งั้นน้ำเข้ารองเท้าแล้วจะหงุดหงิดเอาได้ (นิดหน่อย เพราะมันแห้งเร็ว)

ยา

สำหรับคนเมารถ สิ่งที่ต้องเตรียมเป็นพิเศษคือยาแก้เมา เพราะพื้นที่ 2/3 ของไต้หวันเป็นภูเขา ถ้าไปเที่ยวสายธรรมดานอกเมืองแนะนำว่าให้กินไว้ก่อนเลยนะ เพราะขนาดคนไม่เมารถยังมีเวียนหัวเล็กๆ เลย คนเมานี่เจอหนักแน่นอน

เงิน

หน่วยเงินของไต้หวันคือ New Taiwan Dollar หรือ $NT ซึ่งอัตราแลกเปลี่ยนเทียบกับเงินบาทน่ารักมากคือประมาณ 1 $NT = 1.1 ฿ คือมันพอๆ กันเลย แถมค่าครองชีพก็เท่ากัน ดันนั้นเวลาซื้อของอะไรคือไม่ต้องคิดเลย คิดว่ามันคือเงินบาทไปเลยง่ายๆ สิ่งที่ต่างกันคือประเทศเขาอยู่ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ดังนั้นค่าอาหารของกินหรือพวกสตรีทฟู้ดในประเทศพวกนี้จะแพงกว่าประเทศไทย (ของไต้หวันแพงกว่าไม่มาก แต่ก็ให้ความรู้สึกแพงกว่าอยู่ดี)

* สำหรับเงินไต้หวัน ถ้าต่ำกว่า 100$ จะไม่มีแบงค์นะ เตรียมเก็บเหรียญรัวๆ เลยจ้า

ไฟฟ้า

ไต้หวันเป็นประเทศที่รับเทคโนโลยีจากญี่ปุ่นมาเยอะมาก ไฟฟ้าก็เลยใช้ระบบเดียวกับญี่ปุ่นคือ 110V. ซึ่งจะน้อยกว่าไทยที่ใช้ระบบ 220V. แต่ไม่ต้องห่วงเรื่องการตัวแปลงไป ปกติตัวชาร์ตพวกโทรศัพท์ กล้อง อะไรพวกนี้สามารถแปลงไปในช่วง 110-240V. ได้อยู่แล้ว (แต่จะเต็มช้าลงเพราะไฟเขาเบากว่า) ปัญหาหลักน่าจะเป็นตัวหัวเต้าเสียบมากกว่า เพราะไต้หวันใช้ปลั๊กแบบญี่ปุ่น คือแบบขาแบน 2 ขา ใครเคยไปญี่ปุ่นมาแล้ว ใช้หัวแปลงแบบเดียวกันได้เลย แต่ถ้าไปพักตามโรงแรมดีหน่อย ในห้องพักส่วนใหญ่จะเป็นปลั๊ก universal แบบไทย แถมบางที่มีป้ายติดไว้ด้วยว่ารูปไหน 110V. รูไหน 220V. (ถ้าเลือกได้ก็เสียบ 220 ซะเพราะแบตจะเต็มเร็วกว่า)

ภาษา

ใช้ภาษาจีนกลาง Mandarin แต่ตัวเขียนใช้แบบตัวเต็ม ขีดเยอะๆ ได้ยินมาว่าพูดภาษาอังกฤษพอได้แต่ไม่ได้ลองเพราะไปครั้งนี้กะไปฝึกพูดภาษาจีนด้วย เลยเน้นพูดจีน (พร้อมภาษามือ) เป็นหลัก

เรื่องๆ อื่นๆ ก็ไม่ค่อยมีอะไรมาก ยกเว้นคนชอบช็อปคงต้องเอากระเป๋าเผื่อไปด้วยหลายๆ ใบ เพราะเห็นคนอื่นในทริปขากลับหิ้วของกันเยอะมาก (ของเราขาไปมีเท่าไหร่ ขากลับก็มีเท่านั้นแหละ ฮา)

 


Day 1


#Taipei

วันแรกออกเดินทางจากสุวรรณภูมิตอน 7 โมงเช้า ถึงสนามบินเถาหยวนประมาณ 11 โมง หลังจากนั้นก็เดินเข้าเมืองไทเปย์ ตอนไปถึงก็ฟ้าครึ้มๆ แล้วพอกินข้าวกลางวันเสร็จเท่านั้นแหละ ตอนกำลังจะเข้าไทเปย์ ฝนตกเลย (ฮืออ)

ไทเปย์เป็นเมืองหลวงของไต้หวัน อยู่ทางด้านเหนือ ทริปนี้อยู่ไทเปย์ 2 วัน บอกเลยว่ายังไม่เจอช่วงที่เมืองนี้ไม่มีหมอกเลย ไปวันแรกฝนตก ไปวันที่สามหมอกเต็มฟ้า บรรยากาศในเมืองไทเปย์จริงๆ ก็คล้ายๆ ประเทศไทยนะ คนไต้หวันนิยมปั่นจักรยานกับขับมอเตอร์ไซค์ เท่าที่เห็นมีแต่มอเตอร์ไซค์แบบสกู๊ตเตอร์ ขับกันเต็มถนนเลย

อ้อ ไทเปย์ขับรถพวงมาลัยซ้าย (แบบประเทศส่วนใหญ่ในโลกนี้) ดังนั้นถ้เดินข้ามถนนก็ระวังเรื่องทิศนิดนึงนะ ดูรถให้ถูกทาง

Chiang Kai-Shek Memorial Hall

เจียงไคเช็คหรือเจี่ยงเจี้ยสือ (Jiang Jieshi) เป็นผู้นำทางทหารของจีนภายใต้พรรคก๊กมินตั๋ง แต่ภายหลังแพ้สงครามกับพรรคคอมมิวนิสต์ที่นำโดยเหมาเจ๋อตุง จึงต้องหนีและอพยพคนมาไต้หวัน พร้อมกับพาประชาชนจีนที่ไม่ใช่ชนชั้นแรงงานตามมาด้วยเกินหนึ่งล้านคน (เพราะเหมาเจ๋อตุงปฏิวัติคอมมิสนิสต์ ทุกคนต้องเท่าเทียบ ต้องใช้แรงงานอะไรแบบนั้น คนส่วนใหญ่ของจีนในขณะนั้นกว่า 90% เป็นชาวนาเลยสนับสนุน แต่ประชาชนชั้นกลางถึงชั้นสูงเลยหนีตามเจียงไคเช็คมา)

 

หลังจากผ่านซุ้มประตูด้านหน้าเข้าไป ด้านข้างจะมีอาคารเหมือนเก๋งจีนอยู่ 2 หลังซึ่งใช้เป็นเหมือนโรงละครและหอประชุมแห่งชาติ

อนุสรณ์เจียงไคเช็คเป็นหนึ่งในแลนมาร์คที่นักท่องเที่ยวต้องมาลงกัน ตัวอนุสรณ์เป็นอาคารทรงจีนปูด้วยกระเบื้องสีขาวและมุงหลังคาด้วยประเบื้องสี น้ำเงินอยู่กลางลานหินขนาดใหญ่

ที่ชั้น 4 จะมีรูปปั้นเจียงไคเช็คตั้งอยู่ ทุกๆ ชั่วโมงจะมีการเปลี่ยนเวรยามของทหาร สามารถไปรอชมได้ซึ่งจะคล้ายๆ กับการเปลี่ยนเวรยามของทหารที่อนุสรณ์วีรชนจงเลี่ยฉือที่เราจะไปในวันที่ 3 (แต่ที่นั่นจะอลังการกว่า)

ที่ภายในเป็นพิพิธภัณฑ์รอบประวัติและของใช้ของประธานาธิปดีเจียงไคเช็ค มีตั้งแต่หนังสือ รายงาน ชุดเครื่องแบบ รถยนต์ส่วนตัว

จริงๆ ถ้ามีไกด์นำให้ก็จะค่อยๆ เดินไปทีละห้อง แล้วก็เล่าประวัติตามรูปไปเรื่อยๆ ด้วย

อันนี้เป็นโมเดลจำลองห้องทำงานของเจียงไคเช็ค สังเกตดูจะเห็นว่าที่โต๊ะนี้ จะมีลิ้นชักที่ด้านนอกด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ภรรยาของเจียงไคเช็คเสนอให้ทำเรียกว่า "โต๊ะเสมอภาค" เพราะเวลาลูกน้องของเจียงไคเช็คเข้าไปคุยกับเจ้านายจะกลัวมากจนไม่กล้าพูดอะไร (ขนาดนั้นเลย~)

Lungshan Temple

วัดหลงซันเป็นวัดยอดฮิตตั้งอยู่กลางเมืองไต้หวัน ใกล้กับยานซีเหมินติงที่เป็นเหมือนสยามสแควร์ ตัววัดตกแต่งสวยดีตามสไลต์จีน (แหงล่ะ) โดยเน้นรูปแกะสลักที่เพดานและหลังคา แบ่งออกเป็นตำหนักหลักด้านหน้า และตำหนักหลังด้านใน

ภายในจะอารมณ์คล้ายๆ กับวัดจีนทั่วไปคือกลิ่นธูปฟุ้งกระจาย ที่นี่มีองค์เจ้าแม่กวนอิมประดิษฐานเป็นองค์ประธาน พร้อมกับเทพเจ้าจากลัทธิเต๋า ขงจื้อ และพุทธรวมๆ แล้วน่าจะมากกว่า100 องค์ ซึ่งองค์เจ้าแม่กวนอิมนี้ในสมัยสงครามโลก วัดเคยโดนทิ้งระเบิดใส่แต่องค์เจ้าแม่กวนอิมกลับไม่เป็นอะไรเลย ทำให้คนศรัทธามาก

แต่เทพยอดฮิตสำหรับคนหนุ่มสาวน่าจะเป็น เทพผู้เฒ่าจันทรา ที่มีสถานะเหมือนกับเทพแห่งความรักในตำนานจีน โดยเชื่อว่าเทพท่านนี้จะใช้ด้ายแดงคอยผูกชายหญิงให้คู่กัน ใครอยากขอพรให้เจอเนื้อคู่ ถ้ามาแล้วก็จัดไป แต่องค์ไหนหากันเองนะ ฮา (รู้สึกจะอยู่ในตำหนักในสุดด้านซ้าย ใกล้ๆ กับเทพกวนอู)

Shimenting (Ximenting)

ย่านซีเหมินติงเป็นศูนย์กลางความบันเทิงของไทเปย์ ก็มีความเท่ากับโซนสยามสแควร์เมืองไทยนั่นแหละ มีทั้งโรงหนัก ห้าง และร้านช๊อปปิ้งมากมาย เอาเป็นว่าดูยังไงๆ มันก็สยามชัดๆ (ฮา)

ร้านไก่ทอด Hot Star ที่เคยฮิตที่ไทยอยู่พักนึง (ตอนนี้เลิกฮิตแล้วมั้ง?) ก็มีร้านขายที่นี่ หาง่ายๆ ป้ายร้านจะเป็นสีฟ้าอยู่ตรงหัวมุมแยกซักแยก หาไม่ยากหรอก (ถ้าอยากไปกินก็ Google Map เอาละกัน)

วันที่ไปฝนตก เลยไม่ค่อยได้เดินเยอะเท่าไหร่ ... เอาจริงๆ ถ้าไม่ใช่ขาช๊อปเดิน 30 นาทีก็เบื่อแล้วล่ะ


Day 2


วันที่ 2 จะออกเดินทางไปเมืองฮวาเหลียนทางรถไปเพื่อไปเที่ยวทาโรโกะกัน

#Taroko National Park

อุทยานแห่งชาติไท่หลู่เก้อ หรือชื่อที่ฮิตมากกว่าคือ "ทาโรโกะ" ชื่อที่เหมือนญี่ปุ่นจ๋านี่เป็นภาษาของชาวพื้นเมืองเขาล่ะ ตำแหน่งที่ตั้งอยู่ที่เมืองฮวาเหลียน ชายฝั่งด้านตะวันออก

การเดินทางจากเมืองไทเปย์มีทั้งรถบัสและรถไฟ ครั้งนี้เรานั่งรถไฟไป ขึ้นรถที่ Taipei Main Station ใช้เวลาประมาณ 2 ชม.

ข้อสังเกตคือในเมืองไทเปย์จะไม่มีรถไฟที่วิ่งอยู่บนดินเลย (หมายถึงรถไฟจริงๆ ไม่ใช่รถไฟฟ้านะ) รางรถทั้งหมดจะถูกสร้างไว้ใต้ดิน จะขึ้นมาบนดินอีกทีเมื่อออกจากไทเปย์แล้ว

ถ้าเลือกได้แนะนำว่าให้นั่งฝั่งซ้าย (ถ้านั่งกลับจากฮวาเหลียนมาไทเปย์ให้นั่งด้านขวา) เพราะจะเห็นทะเล จริงๆ คือมหาสมุทรแปซิฟิก

ภูมิประเทศของเกาะไต้หวันส่วนใหญ่เป็นภูเขาซะ 2/3 จะมีที่ราบให้ใช้สอยอยู่บ้างก็ด้านตะวันตกที่ไม่โดนมรสุมจากแปซิฟิกซัดเข้าตลอดทั้งปี ดังนั้นฝั่งตะวันออกนอกจากเมืองฮวาเหลียนก็จะมีเขตเมืองใหญ่ไม่มีเมืองเช่นอี๋หลานที่เรานั่งรถไฟผ่านในทริปนี้ ซึ่งส่วนใหญ่คนจะไม่ค่อยอยากดูในโซนตะวันออกเท่าโซนตะวันตกเพราะเจอพายุบ่อย อาชีพของคนแถวนี้ส่วนใหญ่เป็นชาวประมงด้วย

สำหรับการมาเที่ยวทาโรโกะต้องวัดดวงกันนิดนึง เติมแต้มบุญมากันเยอะๆ ล่ะ เพราะเมืองชาติฝั่งทะเลด้านตะวันออกของไต้หวัน ทั้งฮวาเหลียน และ อี้หลาน เจอมรสุมแทบจะทั้งปี ถ้าฝนตกก็หมดสนุกได้ แถมถ้าตกแรงๆ เขาจะปิดไม่ให้ขึ้นไปบนเขาได้ ก็อดไป

ทาโรโกะเป็นเขาหินอ่อน ระหว่างทางไปถ้าสังเกตจะเห็นว่ามีโรงงานปูนซีเมนต์เยอะเลย (ระเบิดจากเขานี่ไปทำแหละ) โดยจุดแรกที่ไปถึงเราจะเห็นซุ้มประตูสไตล์จีน เห็นแล้วรู้เลยว่ากำลังจะเข้าเขตทาโรโกะแล้วล่ะนะ

เดินทางเข้ามาต่ออีกนิดก็จะเจอกับสะพานและที่จอดรถ ซึ่งจะมีทางเดินลง (บันได) ไปยังช่องเขาที่เป็นทางโบราณที่ขาวพื้นเมืองเคยใช้เดินไปเก็บของป่ากัน รู้สึกว่าทางนี้จะชื่อว่า ซาข่าตัง (Shakadang) ทางชันนิดหน่อย แต่ต้นไม้เยอะ อากาศดีมาก

ไม่ได้เดินเขาไปสุด เพราะเรามีเวลาอยู่ที่นี่แค่ 40 นาที ระหว่างเขามีทางน้ำที่ตอนนี้แห้งไม่เหลือเลย ไกด์บอกว่าปีนึงมันจะมีน้ำเต็มจนถึงขอบตลิ่งแค่ 2-3 เดือนเท่านั้น แต่ไม่แนะนำให้มาตอนนั้นเพราะฝนจะตกหนักกว่านี้

จากตรงทางเดินสายป่า ผ่านเข้าอุโมงต่อมาอีกนิดเราจะมาเจอกับศาลเจ้า Changshun หรือ Eternal Spring Shine ที่สร้างเพื่อบูชาวิญญาณของทหารประมาณ 200 นายที่เสียชีวิตขณะสร้างถนนสายนี้ (สมัยที่เจียงไคเช็คอพยพมาไต้หวัน ได้มีการเกณฑ์ทหารมาสร้างถนนผ่านเทือกเข้ากลางเกาะไปยังฝั่งตะวันตก)

จากตรงนี้ขึ้นไปก็มีทางเดินให้เดินต่ออีก แต่ทางจะโหดกว่าทางเดินถนนสายป่าเมื่อกี้ เพราะเมื่อกี้แค่เดินขึ้นเนินเฉยๆ แต่สายนี้จะเป็นเดินขึ้นเขาจริงๆ ล่ะ (ไม่ได้เดินขึ้นไปหรอกนะ ฮา) ด้านล่างจะมีร้านขายของอยู่ ไปนั่งพักได้ แต่ของฝากราคาแอบแพง ตอนแรกกะว่าจะซื้อเสื้อ แต่เห็นราคาประมาณ 800 $NS (ประมาณ 800 ฿) ก็ซื้อไม่ลง แค่เสื้อยืดคอกลมสกรีนลายเอง

โดยรวมแล้วเขาทาโรโกะเป็นหนึ่งในจุดที่น่าไปเที่ยวมาก แต่ก็ถ่ายรูปให้สวยยากมาก คือออกแนวต้องไปดูเองล่ะ ตัวเขาค่อนข้างยาว ทางเดินเลียบเขามีเยอะ ถ้าจะไปอาจจะต้องเผื่อเวลาสักหน่อย


Day 3


#back to Taipei

กำหนดการวันนี้คือขึ้นรถไปกลับจากฮวาเหลียนมาไทเปย์ ตอนเช้าตื่นมาหลังกินข้าวเสร็จก็เลยออกมาเดินเล่นรอบโรงแรมนิดหน่อย

สถานนีรถไฟเมืองฮวาเหลียนอยู่บนดิน (ไม่เหมือนในไทเปย์ที่อยู่ใต้ดิน) อารมณ์ก็คล้ายๆ หัวลำโพงแต่คนน้อยกว่า

ตอนกลับมาถึง Taipei Main Station เห็นมีคนถ่ายรายการอะไรซักอย่างอยู่ด้วย เป็นพิธีกรสองคนเข้าไปสัมภาษณ์นักเดินทางที่เพิ่งออกมาจากสถานนี

Martyrs' Shrine

หรืออนุสรณ์วีรชนจงเลี่ยฉือ (Zhongliechi) เป็นอนุสรณ์ที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงทหารที่เสียชีวิตจากการต่อสู้กับคอมมิวนิส โดยเป็นเหมือนศาลขนาดใหญ่ที่สร้างแบบสถาปัตยกรรมจีน

ไฮไลท์ของที่นี่นอกจากอนุสรณ์แล้วน่าจะเป็นการรอดูทหารเปลี่ยนเวรยามที่มีทุกๆ ชั่วโมง (เปลี่ยนเวรกันทีใช้ไปประมาณ 20-30 นาทีแหนะ) โดยจุดที่ทหารจะยืนยามจะมีอยู่ 2 ทีคือที่ซุ้มประตู้ทางเข้า 2 นาย และข้างในที่ตัวอนุสรณ์อีก 2 นาย

ขบวนทหารจะเริ่มจากประตู้หน้า ประกอบด้วยทหารที่จะมาเปลี่ยนเวร 4 คนและหัวหน้าชุดอีก 1 คน (คนที่เป็นหัวหน้าจะเดินนำและไม่ถือปืน) การเดินก็จะเดินเหมือนสวนสนามช้าๆ ค่อยๆ กระดิบๆ จากประตู้หน้าเข้าไปด้านใน

ในระหว่างนี้เขาจะอนุญาตให้เราเข้าไปถ่ายรูปในระยะประชิดได้ แต่จะต้องไม่ใกล้เดินไป จะมีเจ้าหน้าที่ (ในชุดสูท) คอยเดินคุ้มกัน พอเข้าไปถึงด้านในก็จะมีพิธีเปลี่ยนตัวกับทหารด้านใน 2 นาย แล้วก็เดินกลับ (กระดิบๆ กลับไปที่ประตูเดิม) แล้วก็ไปเปลี่ยนเวรกับทหารข้างหน้าอีก 2 นายเป็นอันจบพิธี ... เวลาเดินทหารจะค่อนๆ ยกขากระแทกพื้นทีละก้าวจนพื้นปูหินเป็นรอยยาวตลอดทาง!

ความรู้เสริมเรื่องชุดเครื่องแบบของทหาร บางคนไปเที่ยวไต้หวัน ไปดูทหารเปลี่ยนเวรยามในรูปคนอื่นอาจจะเห็นว่าชุดเครื่องแบบไม่เหมือนกันเพราะทหารที่มาเข้าเวรของทีนี่จะผลัดเปลี่ยนกัน 3 เหล่า กองทัพบกจะใส่สีเขียว กองทัพเรือจะใส่ดำในฤดูร้อน,สีขาวในฤดูหนาว ส่วนกองทัพอากาศจะใส่สีกรมท่า (แปลว่าช่วงที่เราไปเจอกองทัพอากาศ)

Taipei 101 Tower

ตึกสูง 508 เมตร เคยเป็นแชมป์ตึกสูงที่สุดในโลกในช่วงปี 2004-2011 ก่อนเสียแชมป์ให้ Burf Khalifa ของดูไบ (ตึกที่อีธาน ฮันท์ไปปีนใน Mission Impossible 4 ไงล่ะ) ด้านในเป็นห้าง ร้านอาการ และสำนักงาน (คล้ายๆ ตึกจามจุรีสแควร์) มีทั้งหมด 101 ชั้นตามชื่อเลย

ด้านบนชั้น 89 จะเป็นชุดชมวิว (จะขึ้นเสียเงินนาจา) โดยขึ้นลิฟต์ที่ได้รับการบันทึกว่าเร็วส์! ที่สุดในโลกคือ 1010 เมตร/นาที ในลิฟต์มีนาฬิกาจับเวลาและแสดงสถานะให้ดูด้วย แบบของเราใช้แค่ 39 วิ.จากชั้นล่างสุดไปชั้น 89 เลย ... ใครขึ้นเครื่องบินแล้วปวดหูจากความดันอากาศแนะนำให้หาลูกอมเคี้ยวหนึบหรือหมากฝรั่งกินไปด้วยนะ ไม่งั้นปวดหูแน่นอน

ด้านบนก็เป็นจุดชมวิวอ่ะนะ และมัน .... สูงมากกก สูงมากกกกกกก!!!

บอกเลยว่าเป็นคนกลัวความสูง แต่เพื่อรูปถ่ายเราต้องพยายาม (กระดึ๊บๆ) ออกไปประชิดหน้าต่างกระจกใสให้ได้! เสียดายวันนี้หมอกเยอะ ไม่น่าใช่เมฆนะ น่าจะเป็นหมอกแหละ ถ่ายรูปออกมาเลยขาวฟุ้งๆ เลย แต่ก็ถือว่าดีกว่าฝนตกละนะ แต่ถ้าใครอยากได้โอเพ่นแอร์สามารถเดินบันไดต่อขึ้นไปชั้น 91 ได้ จะเป็นลานด้านนอกตึก หรือเดินลงมาชั้น 88 จะเจอกับ Wind Damage ซึ่งเป็นลูกตุ้มถ่วงน้ำหนักขนาดใหญ่ ลองดูในรูปเปรียบเทียบกับตัวคนนะ

ตำไทเปย์ 101 มีลูกตุ้มแบบนี้อยู่ 2 ลูกที่ชั้น 88 และ 44 (ชั้น 44 จะไม่ให้คนเข้าไปดู) เนื่องจากเป็นตึกสูง ถ้าโดนลมพัดแรงๆ เช่นเจอไต้ฝุ่นหรือเจอแผ่นดินไหว เจ้าลูกตุ้มนี้จะส่ายไปด้านตรงข้างกับตึกเพื่อดึงตึกกลับเข้าสู่จุดสมดุล (ว้าว!)

ที่ชั้นนี้ยังเป็นศูนย์แสดงศิลปะจากปะการังแดง หยก หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เป็นหินแร่ราคาแพงน่ะ แบบอันในรูปข้างล่างนี่ เห็นชิ้นเล็กๆ แบบนี้ราคาประมาณ 7-8 ... ไม่ใช่หมื่นหรือแสน แต่เป็น 7-8 ล้าน!! (ค่าเงินไต้หวันกับเงินไทยเท่ากัน คิดไม่ยากเนอะ) ทั้งชั้นมีอยู่หลายร้อยชิ้นก็คำนวนเอาเองละกัน

Gugong National Palace Museum

พิพิฒพัณฑ์พระราชวังแห่งชาติ หรือ กู้กง เป็นที่รวมโบราณวัตถุของวังต้องห้าม ... เอ๊ะ แต่วังต้องห้ามมันอยู่ปักกิ่งไม่ใช่เหรอ ใช่แล้ว หมายถึงวังต้อมห้ามที่นั่นแหละ ถ้าใครเลยไปเที่ยววังที่ปักกิ่ง จะเห็นว่ามันมีแต่โบราณสถานเหลืออยู่ ถ้าวัตถุที่เหลือก็จะเป็นพวกโต๊ะ เก้าอี้ อะไรแบบนั้น สาเหตุเพราะของมีค่าโดนย้ายมาที่นี่หมดแล้วล่ะ เนื่องจากตอนที่เจียงไคเช็คแพ้สงคราม นอกจากเขาจะขนคนระดับมันสมองของประเทศมาไต้หวันแล้ว ยังเอาโบราณวัตถุพวกนี้มาด้วยล่ะ (ไหนๆ จะหนีแล้วก็ต้องเอามาให้หมดสิ) ดังนั้นถ้าให้คิด พระราชวังต้องห้าม ก็จะมีอยู่ 2 ที่คือที่ปักกิ่งจะเป็นส่วนของโบราณสถาน ที่ไต้หวันจะเป็นส่วนของโบราณวัตถุ

แล้วทำไมทางการจีนไม่ขอคืนน่ะเหรอ เหตุผลการเมืองมาก ... เพราะจีนถือว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีน ไต้หวันเลยบอกว่าถ้าขอคืนก็จะให้ แต่ต้องยอมรับนะว่าไต้หวันเป็นอีกประเทศนึง เพราะถ้าเป็นประเทศเดียวกันมันจะขอคืนทำไมในเมืองพื้นที่ตรงนี้ก็ถือว่าเป็นจีน (ฮา)

กู้กงแบ่งออกเป็น 3 ชั้น ที่ชั้นล่างจะมีร้านขายของที่ระลึก (น่าซื้อมาก แต่ก็แพงมากเช่นกัน เลยไม่ได้ซื้อมากซักอย่างเลย) และห้องให้เช่าเครื่องเล่นเสียงอธิบายประวัติของวัตถุโบราณแต่ละชิ้น ของเราไปกับทัวร์ มีไกด์ แต่ไกด์บอกว่าห้ามเสียงดัง เลยต้องใช้เครื่องเล่นนี้เหมือนกัน แต่ใช้เป็นเหมือนวิทยุไร้สายแทน ระหว่างเดินชมก็ฟังไกด์เล่าไปเรื่อยๆ

อ้อ ... ที่นี่ให้ถ่ายรูปได้ แต่ห้ามใช้แฟลช ตอนแรกนึกว่าห้าม ไกด์บอกว่ากฎของที่่นี่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เพิ่งให้ถ่ายรูปได้ไม่กี่เดือนนี้เอง โชคดีมาก บอกเลย

หนึ่งในของที่มีชื่อเสียงของที่นี่คือหยกผักกาด ที่เห็นหยกที่ครึ่งนึงเป็นสีเขียวอีกครึ่งสีขาว เอามาแกะสลักเป็นรูปผักกาดขาว ด้านบนจะมีตั๊กแตนเกาะอยู่ เพราะหยกนี้นิยมให้เป็นของขวัญแต่งงาน (ตั๊กแตน = ขยายพันธุ์เร็ว = จะได้มีลูกเยอะ) วัตถุโบราณของกู้กงมีประมาณ 600,000 กว่าชิ้น แต่จะค่อยๆ เวียนเอาออกมาแสดง วัตถุโบราณบางส่วนก็เอาไปจัดแสดงที่ต่างประเทศด้วย แบบครั้งนี้ หินเนื้อหมู ถูกเอาไปแสดงที่เมืองนอก เลยไม่ได้ดูเลย

รูปด้านล่างซ้ายเป็นรูปของหยางกุ้ยเฟย สนมในสมัยราชวงค์ถัง ในยุคของฮ่องเต้ถังเสวียนจง (ยุคต่อจากช่วงของถังไท่จงและฮ่องเต้หญิงบูเช็คเทียน) โดยนางเป็น 1 ใน 4 ยอดหญิงงามแห่งประวัติศาสตร์จีน ฉายา "มวลผกาละอายนาง" คือดอกไม้ยังไม่กล้าสู้ ส่วนอีก 3 คนใน 4 ยอดหญิงงามของจีนมีใครตามไปอ่านได้ที่นี่

ส่วนใหญ่ในกู้กงจะเป็นหยก ปะการังแดง เครื่องลายคราม รูปปั้นแกะสลักสไตล์จีน แต่ก็มีบ้างที่เป็นเครื่องโลหะสไตล์ทิเบต พวกวัชระอะไรแบบนั้น

อันล่างนี่เป็นไฮไลท์อีกชิ้นของที่นี่ มันคือของเล่นของฮ่องเต้สมัยก่อน เป็นงาช้างแกะสลัก แต่ถ้าแกะสลักธรรมดามันคงไม่มีอะไรพิเศษ จุดขายของมันคือมันเป็นงาช้างชิ้นเดียว แต่แกะสลักซ้อนกัน 27 ชั้นจากนอกเข้าไปด้านใน ซึ่งแต่ละชั้นสามารถหมุนได้เป็นอิสระจากกัน!!! บ้าไปแล้ว ใช้เวลาทั้งหมด 3 ชั่วอายุคนของตระกูลช่างแกะสลักเพื่อทำมันขึ้นมา เว่อร์วังอลังการเป็นที่สุด!

(ของจริงมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณครึ่งฟุตนะ)

Shilin Night Market

รายการสุดท้ายที่จะเที่ยวในเมืองไทเปย์คือตลาดกลางคืนซื่อหลิน

ไต้หวันเป็นประเทศที่บ้าตลาดกลางคืนมาก ทุกๆ เมืองจะมีตลาดกลางคืนอย่างน้อยหนึ่ง อย่างมากเป็นสิบกระจายอยู่ทั่งทั้งเมือง เรียกว่าพักโซนไหนก็หาตลาดกลางคืนใกล้ๆ ที่พักได้แน่นอน

ตลาดซื่อหลินเป็นตลาดกลางคืนที่ใหญ่ที่สุดในไทเปย์ เดินกันขาลาก และคนเยอะมาก เบียดๆ อัดๆ กันเข้าไป

ของที่ขายมีตั้งแต่ผัด ผลไม้ อาหารสด ขนม ของกินเล่น เสื้อผ้า และเนื่องจากอยู่ใกล้เขตมหาวิทยาลัยจึงมีพวกเครื่องสำอาง รองเท้าผ้าใบ-กระเป๋าแบรนเนมขายเยอะมาก บางครั้งจะเจอซุ้มเล่นเกมแบบงานวัด พวกปาลูกโปงโยนบอลแลกของรางวัลอะไรแบบนั้น

ในตลาดจะมีซอยนึงเป็นซอยอาหาร ขายสตรีทฟู้ดทั้งซอย ขากินเชิญแวะไปซอยนั้นเลยจ้า

ด้านบนนี่เป็นถังหูลู (ซ้าย) ผลไม้เสียบไม้ชุปน้ำเชื่อมที่เคยสงสัยตอนเรียนภาษาจีนว่ามันคืออะไร (มันอยู่ในบทเรียน) และก็หูเจียวปิ่ง (ขวา) หรือซาลาเปาอบเตาหิน ใครอ่านโซมะ มันคืออันที่โซมะทำขายในงานโรงเรียนนั่นแหละ

โดยรวมแล้วมันก็คล้ายๆ กับตลาดนัดถาวร ขายของราคาถูก (ราคาแพงก็มี) และอาหาร จริงๆ เดินชั่วโมงเดียวถ้าไม่แวะซื้ออะไรก็เกือบทั่วแล้ว แต่ปัญหาที่ทำให้มันเดินชั่วโมงเดียวไม่ทั่วคือปริมาณคนนี่แหละ ใครจะไปซื้อะไรเผื่อเวลาเดินเบียดคนเอาไว้เยอะๆ ด้วยก็ดีนะ


Day 4


ตามกำหนดการวันนี้จะเดินทางจากไทเปย์ลงไปยังภาคกลางถือเมืองหนามโถว (อยู่ระดับเดียวกับเมืองฮวาเหลียนที่ไปเที่ยวทาโรโกะ แต่อันนี้อยู่ด้านตะวันตก) การเดินทางไม่ได้ใช้รถไฟ นั่งรถบัสไป เลยจะใช้เวลาประมาณ 4-5 ชั่วโมง แต่ก่อนจะลงไป ครึ่งเช้าเราจะไปเที่ยวกันอีก 2 ที คือหมู่บ้านโบราณจิ่วเฟิ่นและอุทยานหินเยว่หลิว ซึ่งอยู่ใกล้ๆ ไทเปย์ไปทางตะวันออก ไม่ไกลมาก

#Jiufen Old Street

เป็นทำเลหมู่บ้านที่สวยงามตามหลักการของคนจีน คือด้านหน้าเป็นทะเล ด้านหลังเป็นภูเขา ทางขึ้นชวนเมารถคล้ายๆ กับเขาอาหลี่ซาน แต่ทางสั้นกว่าเยอะ เดิมทีหมู่บ้านนี้มีบ้านตั้งอยู่แค่ 9 หลังเท่านั้นเลยเป็นที่มาของชื่อ Jiufen (jiu=9) ซึ่งสมัยก่อนในช่วงยุคตื่นทอง คนก็แห่กันมาขุดแร่ทองจากที่นี่เยอะมาก ขุดกันจนแร่หมด แล้วก็จากไป จนจิ่วเฟินกลับมาดังอีกครั้งเมื่อหนังเรื่อง Sen to Chihiro no Kamikakushi (Spirited Away) ได้เอาฉากของหมู่บ้านนี้ไปเป็นต้นแบบในหนัง ทำให้นักท่องเที่ยวแห่กันกลับมาอีกครั้ง

ส่วนที่เป็นจิ่วเฟิ่นดั้งเดิมจริงๆ เป็นส่วนของถนนสายเก่า ที่ตอนนี้จริงๆ มันก็ไม่เก่าเท่าไหร่แล้วล่ะ เพราะน่าจะมีการสร้างของใหม่ทับไปเยอะแล้ว ทางเข้าถนน (จริงๆ ขนาดของมันเท่ากับตรอกเล็กๆ เท่านั้น) เป็นช่องเล็กมาก ถ้าไม่สังเกตไม่เห็นแน่นอน ให้มองหาจุดที่คนเยอะๆ เอาไว้ หรือไม่ก็มองหา 7-11 ก็ได้ เด่นกว่าเยอะ

ถนนสายหลัก (ที่เล็กๆ) ของจิ่วเฟิ่นเดินไม่ยากเพราะไม่มีทางแยกเลย ระหว่างทางมีของขายเยอะทั้งขนมของกินและของฝาก ของที่ระลึก พวกกุญแจอะไรแบบนั้น

ถ้าเดินมาจนสุดจะเป็นริมเขาพอดี เป็นจุดยอดนิยมในการถ่ายรูป แต่ตอนกลางวันยังไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ ถ้ามาตอนกลางคืน จิ่วเฟิ่นจะเต็มไปด้วยโคมจีนสีแดงเต็มไปหมด แต่ใครที่อยากได้บรรยากาศแบบนั้นคงจะต้องหาที่พักบนเขานั่นแหละ ไม่งั้นคงหาทางลงจากเขายากเพราะมันเป็นตอนกลางคืน

#Yehliu Geopark

อุทยาน หินประหลาดเยว่หลิว (หรือเอวี๋ยหลิ่ว) เป็นอุทยานขนาดไม่ใหญ่มากอยู่ทางเหนือของเกาะไต้หวัน เป็นแหลมยื่นออกไปในทะเลไม่ไกลมาก ภายในจะมีหินรูปร่างประหลาด คล้ายๆ เห็ด ขึ้นกันเป็นดง ซึ่งเป็นเพราะโดนลมทะเลกัดเซาะมานาน

ถนนทางเข้าไปเยว่หลิวเป็นทางลงเขา (จริงๆ น่าจะมีทางไปหลายทาง แต่เรานั่งรถบัสมาจากจิ่วเฟิ่นเลยผ่านทางนี้) โค้งไปโค้งมาพอสมควร ทริปไต้หวันนี่เจอทางโค้ดภูเขาบ่อยมาก

ทางเดินค่อนข้างแคบสำหรับปริมาณคนที่มาเที่ยว อาจจะมีเบียบเสียบกันเล็กน้อยระหว่างเดินออกไปที่ปลายสุด

หินนางเอกของที่นี่คือเศียรพระราชินี (ดูให้เป็นรูปผู้หญิงใส่มงกุฎให้ได้นะ ฮา) จริงๆ ต้องไปดูจากอีกด้านหนึ่ง แต่คนต่อแถวถ่ายรูปกันเยอะมากเลย (ขนาดมีเจ้าหน้าที่จัดคิวให้)

วันที่ไปไม่ค่อยร้อนมาก แต่ลมทะเลก็ทำให้เหนียวตัวมาก

โดยรวมไม่ค่อยมีอะไรดูมากนัก ทะเลรอบๆ สวยดี แต่ถ้าวันที่ไปฝนตกน่าจะไม่สนุก เพราะพื้นน่าจะลื่นและเฉอแฉะ

...

หลังจากเที่ยวเยว่หลิวเสร็จ เราก็นั่งรถกันต่อไปเมืองไถหนาน เส้นทางครั้งนี้จะคล้ายๆ กับวันที่ไปทาโรโกะ คือเลียบชายฝั่งทะเล แต่ชายฝั่งทะเลด้านนี้มีกังหันลมอยู่เยอะพอสมควรเลย

วันนี้พักกันที่ Tai-Yi Red Maple Resort อยู่ทางเหนือของทะเลสาบสุริยันจันทราไม่ไกลเท่าไหร่

ที่พักวันนี้พิเศษกว่าวันอื่นหน่อยเพราะมีบ่อน้ำร้อนส่วนตัวในห้องพักเลย ใครที่ไปญี่ปุ่นแล้วไม่กล้าลงแช่ออนเซ็นร่วมกันคนอื่นอาจจะมาแช่ที่ไต้หวันแทนก็ได้นะ เพราะนี่ที่บ่อน้ำร้อนจะให้ใส่ชุดว่ายน้ำลงได้ หรือไม่งั้นก็มักอยู่ในห้องส่วนตัว

นอกจากบ่อน้ำร้อนแล้วรีสอร์ทยังมีสวนกว้างมาก มีทั้งดอกไม้และซุ้มประตูหิน ไปแวะถ่ายรูปได้


Day 5


#Sun-Moon Lake

หรือทะเลสาบสุริยันจันทราในภาษาไทย เป็นแหล่งน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดของเกาะไต้หวัน อยู่ในเมืองหนานโถว เมืองเดี๋ยวในไต้หวันที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล

เอาจริงๆ วันนี้เป็นวันที่อยากจะขอเบิกแต้มบุญทั้งหมดของทริปนี้มาใช้ให้ฟ้าโปร่ง ฝนอย่าตก เพราะอยากได้รูปสวยๆ ของทะเลสาบสุริยันจันทรามาก แล้วมันก็ฝนไม่ตกจริงๆ แถมแดดไม่แรงเกินไปจนทำให้แสงแข็งด้วย (คำนับ 3 ที)

ชื่อ Sun Moon ได้มาจากมุมมองที่ถ้าเรามองฝั่งตะวันออก เราจะเห็นมันเป็นกลมๆ คล้ายพระอาทิตย์ ส่วนถ้ามองฝั่งตะวันตกมันจะโค้งๆ คล้ายพระจันทร์ (ประมาณนั้นแหละ ฮา) แต่โดยรวมแล้วสวยจริงๆ นะ น้ำใสมากๆๆ แถมสีของน้ำเป็นสีฟ้าแกมเขียวด้วย

ทะเลสาบสุริยันจันทราเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอันดับต้นๆ ของไต้หวัน เพราะตัวทะเลสาบกว้างใหญ่ น้ำสีฟ้าเขียวใส ล้อมรอบด้วยทิวเขาสูงต่ำมากมาย เห็นด้วยตาก็สวย ถ่ายรูปก็ดี ทำให้ทัวร์ไทย ทัวร์จีน หรือนักท่องเที่ยวที่มาเองมาเยือนกันพรึบ!

ช่วงเวลาที่เหมาะ จะมาทะเลสาบมีหลายช่วงตั้งแต่ตอนเช้าที่มาดักรอพระอาทิตย์ขึ้น (จะมีหมอกเยอะหน่อย) หรือถ้ามาตอนกลางวันก็จะเห็นทะเลสาบได้ทั้งหมด

รอบๆ ทะเลสาบจะมีเส้นทางปั่นจักรยานอยู่ เหมือนกับตามแผนจะสร้างให้วนรอบทะเลสาบเลย แต่ตอนนี้ยังสร้างไม่เสร็จ (ได้แค่ฝั่งตะวันตก) ถ้าใครเหลือเวลา จะมีจักรยานให้เช่าไปปั่นเล่นรอบทะเลสาบ

นอกจากเส้นทางปั่นจักรยาน แล้วรอบทะเลสาบยังมีที่อยู่อาศัยของชนเผ่าเซ่าที่เป็นชนพื้นเมืองดั่งเดิม ที่อยู่แถบทะเลสาบนี้ก่อนเจียงไคเช็คจะอพยพเข้ามา ทำให้ปัจจุบันสิทธิในการจับปลาและทำประมงในทะเลสาบสุริยันจันทราทั้งหมดจะ สงวนไว้ให้เฉพาะคนของชนเผ่านี้เท่านั้น

 

วัดเหวินอู่

ตั้งอยู่ทางเหนือของทะเลสาบ ภายในจะแบ่งเป็น 3 ชั้น ไม่ใช่ชั้นแบบชั้น 1 2 3 นะ แต่เป็นเหมือนตำหนักเรียงกับ 3 ตำหนักในแนวเฉียงตามแนวเขา

ตัววัดอยู่ติดถนนเลย ด้านหน้าหลังจากผ่านซุ้มประตูใหญ่เข้ามาแล้วจะเป็นลานกว้าง ก่อนจะเจอบันไดขึ้นวัด ขนาบข้างด้วยสิงโตยักษ์ 2 ตัว

โดยภายในประดิษฐานเทพเจ้ากวนอู เทพเยี่ยเฟยหรืองักฮุย (จากตำนานปาท่องโก๋) และที่ชั้นในสุดคือขงจื้อ ภายในวัดจะมีการห้อยกระดิ่งทองเอาไว้มากมาย

สาเหตุที่ประดิษฐานขงจื้อไว้บนสุดเพราะถือว่าสมอง (ขงจื้อ) ต้องทำงานก่อนพละกำลัง (กวนอู+งักฮุย)

แต่ไฮไลท์อีกอย่างของที่นี่น่าจะเป็นด้านหน้าวัดที่มีทางเดินบันไดจำนวน 366 ขั้นตามวันในหนึ่งใน สามารถซื้อกระดิ่งทองและนักษัตรตัวเองไปผูกห้อยเอาไว้ได้ที่ขั้นบันไดประจำวันเกิดตัวเอง โดยบันไดขั้นแรกคือ 31 ธันวาคม ... ใครเกิดเดือนมกราคมก็เดินกันเหนื่อยหน่อยล่ะ

อีกอย่างคือด้านหน้าวัดเป็นหนึ่งในจุดที่มองเห็นทะเลสาบสุริยันจันทราได้ทั้งทะเลสาบเลย แต่ต้นไม้ด้านหน้าก็เยอะเช่นกัน (โดนบัง)

วัดสวนกวง (วัดพระถังซัมจั๋ง)

ตั้งอยู่ที่ปลายแหลมด้านใต้ของทะเลสาบซึ่งเป็นจุดที่แบ่งทะเลสาบออกเป็นฝั่งสุริยันและฝั่งจันทรา ตัววัดอยู่ในเนินเขาต้องเดินบันไดขึ้นไป ไม่ค่อยสูงมาก เดิน 5-10 นาทีก็ถึงแล้ว โดยภายในวัดจะประดิษฐานกระดูกของพระถังซัมจั๋งเอาไว้ (พระคนที่เดินทางไปอัญเชิญพระไตรปิฎกในเรื่องไซอิ๋วไงล่ะ)

ตัววัดไม่ใหญ่มากไม่เหมือนวัดเหวินอู่ไม่ค่อยมีอะไรให้ดูมากนัก แต่มีไฮไลท์คือเนินนั้นจะเป็นจุดที่ใกล้กับเกาะลาหลู่ ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ ตั้งอยู่กลางทะเลสาบมากที่สุด มีหินสลักชื่อทะเลสาบเอาไว้ คนนิยมไปยืนถ่ายรูปกันขนาดต้องเข้าคิวเลย

ตอนที่เดินทางข้ามมา ต้องนั่งเรือ ถ้ามองไปทางเหนือจะเห็นวัดเหวินอู่อยู่บนเนินเขาด้วย

ตรงทางเข้ามีคนที่น่าจะเป็นชนเผ่าพื้นเมืองมาเล่นดนตรีและขายของด้วย

แล้วก็ได้เวลาข้ามฝากกลับมาเพื่อขึ้นรถเดินทางต่อไปเขาอาหลี่ซาน ที่ท่าเรือมีนกแก้วอยู่ตัวนึง ร้อง "หนีเห่า หนีห่าว~" (สวัสดีๆ)


Day 6


จริงๆ เราขึ้นเขาวันที่ 5 แต่ยังไม่ได้เที่ยวอะไรเลย ไปถึงก็มืดแล้ว เลยขอตัดมาเล่าใน Day 6 เลยก็แล้วกันนะ

#Alishan

หนึ่งในเขาที่มีชื่อเสียงที่สุดของไต้หวัน ตั้งอยู่ในเมืองเจียอี้ แต่เอาจริงๆ มันก็ใหญ่ขนาดอยู่ในหลายเมืองเลยล่ะ แต่จุดที่เราไปอยู่ในเขตของเมืองเจียอี้ (นึกถึงอารมณ์เขาใหญ่ที่อยู่ในพื้นที่ของหลายจังหวัด)

ตัวเขากิน พื้นที่มากกว่า 400 ตารางกิโลเมตร ยอดเขาอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลกว่า 2,500 m. คืออยู่เหนือเมฆแน่นอน แต่ใครที่อยากเห็นทะเลเมฆอาจจะต้องวัดดวงซะหน่อย (อีกแล้ว! ก็ประอากาศเอาแน่เอานอนไม่ได้นี่นา)

คำเดือน: ทางขึ้นเขาค่อนข้างโหด เป็นถนนคดเคี้ยวไปตามแนวเขา แถมกว่าจะขึ้นถึงจุดพักนักท่องเที่ยวใช้เวลาประมาณ 2 ชม. ใครเมารถให้พกยาแก้เมาไปด้วยเลย ไม่งั้นก็หาวิธีทำให้ตัวเองหลับให้ได้ ไม่งั้น@#$%&แน่นอน ตัวอย่างช่วงถนนส่วนหนึ่งที่ต้องผ่านเพื่อขึ้นเขา

ระหว่างทางขึ้นจะมีไร่ชาและร้านชาอยู่เยอะมาก มีชาเฉพาะที่ปลูกบนเขาอาหลี่ซานเท่านั้นด้วย รสชาติอร่อยดี เลยซื้อมากล่องนึง

กว่าจะนั่งรถขึ้นถึงจุดท่องเที่ยวของเขาอาหลี่ซานซึ่งคือเขตป่าสงวน Alishan Forest Recreation Area ก็มืดแล้ว ที่นี่มีโปรแกรมเที่ยวหลักๆ ก็คือสามารถรอดูพระอาทิตย์ขึ้น-ตก ทะเลหมอก เส้นทางรถไฟโบราณ ทางเดินป่าสน สระน้ำสองพี่น้อง

บนเขาอากาศค่อนข้างเย็น ตอนที่ไปนี่ (กลางเดือนเมษา) อากาศตอนกลางวันอยู่ประมาณ 15-20 องศา ไม่มีลมเท่าไหร่ ใครไม่ขี้หนาวเสื้อกันลมตัวเดียวก็เอาอยู่ แต่ถ้าตอนกลางคืนช่วงเที่ยงคืนถึงก่อนพระอาทิตย์ขึ้นจะอยู่ประมาณ 10-12 องศา

บนเขาไม่กันดารนะ เพราะไฟฟ้าไปถึง มีร้านค้า ร้านอาหาร ร้านชา และที่สุดคัญคือมี 7-11 ด้วยล่ะ !!

โรงแรมบนอาหลี่ซานค่อนข้างเก่า สร้างมานานแล้ว ห้องเล็กมาก ปูด้วยพื้นไม้ เวลาเดินจะมีเสียงเอี๊ยดอ๊าดเล็กๆ แต่สะอาด โอเคเลย อ้อ แล้วก็ไม่มีแอร์ ใครขี้ร้อนจะต้องเปิดหน้าต่างเอา ลมข้างนอกมันเย็น พอจะช่วยได้ แต่ระวังอย่าเปิดกว้างไป เดี๋ยวเป็นหวัดได้เพราะอุณหภูมิมันจะลดต่ำลงเรื่อยๆ ตอนกลางดึก

ที่ล็อบบี้โรงแรมจะมีเวลาบอกเอาไว้ว่าพรุ่งนี้รถไฟไปดูพระอาทิตย์ขึ้นจะออกเมื่อไหร่ และพระอาทิตย์ขึ้นเมื่อไหร่ ... สำหรับเวลารถไปออกจะไม่ตายตัว เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ในแต่ละวันเพราะมันจะออกก่อนพระอาทิตย์ขึ้นของวันนั้นประมาณ 1 ชั่วโมง

ดูพระอาทิตย์ขึ้น @ เขาอาหลี่ซาน

จริงๆ รายการดูพระอาทิตย์ขึ้นนี้ไม่มีในรายการทัวร์ แต่ไกด์แถมให้ (เก็บเงินเพิ่ม 300 $NS เพราะต้องจ้างคนขับรถ) ไม่ได้ไปด้วยรถไฟ แต่ทางโรงแรมหารถตู้ให้ ก็นั่งรถกันไปประมาณ 15 นาทีก็ถึงหนึ่งในจุดดูพระอาทิตย์ขึ้น (มีจุดดูอยู่หลายจุด)

ตอนไปถึงคนเริ่มเยอะ ฟ้าเริ่มสว่างแล้ว ก็ต้องหาทำเลเหมาะๆ ที่ไม่โดนคนบังเอา แต่ดูเหมือนว่าจะใช้แต้มบุญหมดไปกับทะเลสาบสุริยันจันทราเมื่อวานแล้ว วันนี้เมฆตอนเช้าเลยเยอะเป็นพิเศษ เมฆลอยกันเป็นแผ่นเลย

การมาดูพระอาทิตย์ขึ้นนี่ต้องใช้ดวงเยอะพอสมควร จังหวะต้องพอดี เมฆต้องไม่เยอะ มาครั้งนี้เห็นแค่นี้แหละ อันนี้ดีสุดและ แต่อย่างน้อยฝนไม่ตกก็โอเคแล้วล่ะนะ

รอไปซักพักกะให้เมฆมันพัดผ่านไป แต่เหมือนจะลีลามาก ค่อยๆ ลอยช้าๆๆๆ จนในที่สุดคิดว่าคงไม่ได้แล้วล่ะเพราะฟ้ามันสว่างแล้ว ... เออ แต่เห็นดวงจันทราชัดเจนเลยนะ (ฮา) เป็นดวงจันทร์ 7 ค่ำ ครึ่งวงกลมพอดี

แล้วก็เหมือนจุดท่องเที่ยวอื่นๆ คือมีชาวพื้นเมืองมาขายของ แบบรูปซ้ายล่างนี่เขากำลังโฆษณาวาซาบิอยู่

หลังจากไม่ได้เห็นพระอาทิตย์แบบจะๆ แล้วก็เลยกลับกันมาที่โรงแรมอีกครั้ง ตอนนี้เห็นจุดรวมนักท่องเที่ยวชัดแล้ว เมื่อวานตอนมาถึงมองไม่เห็นอะไรเลยเพราะพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว

มีเวลาเล็กน้อยก่อนอาหารเช้า เลยไปเดินเล่นรอบๆ จุดพักนักท่องเที่ยว มีเห็นทะเลเมฆอยู่ไกลๆ ด้วย

นั่งรถไฟโบราณขึ้นเขา

ที่เขาอาหลี่ซานจะมีสถานนีรถไฟโบราณให้นั่งขึ้นเขาได้ จริงๆ ก็นั่งไปแค่นิดเดียว ป้ายเดียวก็ลงแล้ว ประมาณ 5-10 นาทีเอง แต่ถ้าใครอยากไปดูพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้า ก็สามารถนั่งรถไฟรอบเช้าต่อไปอีกสถานนีได้

ระหว่างทางที่มีจะเห็นทางคนเดินสร้างข้างๆ ทางรถไฟมาเรื่อยๆ (เป็นทางขึ้นเขา) มีคนเดินเยอะเลย ไกด์บอกส่วนใหญ่ถ้าเป็นทัวร์จีนมา เขาจะเดินขึ้นเขา แล้วขากลับค่อยนั่งรถไฟกลับ ใครอยากทำแบบนั้นต้องมีเวลาเยอะหน่อยนะ เพราะนั่งรถไฟแป๊ปเดียว แต่ถ้าต้องเดินขึ้นเขามาก็น่าจะใช้หลายชั่วโมงอยู่

แถวๆ สถานนีรถไฟจะมีจุดท่องเที่ยวสองจุดคือสวน Zhaoping ที่เป็นสวนด้วยไม้ มีทางเดินลอยฟ้า กับ ทางเดินสายป่าสนที่มีบ่อน้ำสองพี่น้องหรือ Sister Pond อยู่

สวนลอยฟ้า Zhaoping

ดอกไม้แถวๆ นี้น่าจะเป็น ซากุระ (ใช่รึเปล่าหว่า อันนี้ไม่แน่ใจ?) แต่ที่ไม่เหมือนซากุระที่ญี่ปุ่นอย่างเห็นได้ชัดคือมันมีใบด้วย

ต่อไปเราจะไปเดินถนนสายป่าสน เป็นทางเดินปูพื้นหินยาวประมาณ 1 กิโลเมตร เดินสบายเพราะต้นไม้ใหญ่มาก บังแดดได้ดี ในป่าจะรู้สึกเย็นชื้นๆ ด้วย ส่วนทางเดินทำเป็นพื้นหินทำให้เดินง่าย แถมเป็นการเดินลงตลอดเส้นทางด้วย ไม่มีขึ้นเนิน

สระน้ำสองพี่น้อง

เดินไปเรื่อยๆ จะเจอบ่อน้ำหรือสระน้ำ 2 แห่ง โดยแห่งแรกจะเล็กกว่า สระที่สองจะใหญ่กว่า และมีการสร้างศาลาที่กลางสระด้วย ทั้งสองสระไม่ได้อยู่ติดกัน แต่อยู่ใกล้ๆ กันมีชื่อเรียกว่าสระน้ำสองพี่น้อง ตามตำนานเล่าว่ามีพี่น้องอยู่สองคนเกิดรักผู้ชายคนเดียวกัน ทำให้ไม่สมหวังในรัก คนน้องเลยกระโดดลงสระเล็ก คนพี่กระโดดลงสระใหญ่ (ว้า~!)

เดินมาเรื่อยๆ จะผ่านสวนแม็คโนเลีย ถ้าเดินต่อไปอีกนิดก็จะเจอทางออกซึ่งเป็นที่ตั้งของวัด Shouzhen ซึ่งประดิษฐานเทพสวนเทียนที่เล่ากันว่าในเดือนเกิดของท่านจะมีผีเสื้อกลางคืนบินมาเยือน (ประมาณช่วงเดือนมีนาคม) นอกจากนี้แถวๆ วัดยังมีโซนฟู้ดเซ็นเตอร์และร้านขายของด้วย

ข้างๆ วัดจะมีบริการรถตู้นั่งกลับไปยังจุดพักนักท่องเที่ยว ถ้าไม่นั่งรถก็เดินกลับก็ได้ ซึ่งจะเป็นทางเดียวกับทางคนเดินที่ขนานทางรถไฟที่นั่งมาตอนแรก

จากนั้นก็ไปเก็บของแล้วก็เตรียมออกเดินทางเพื่อไปขึ้นเครื่องกลับที่สนามบินเกาหยวน (นั่งรถบัสกลับ ประมาณ 5 ชั่วโมง)

สำหรับเขาอาหลี่ซานก็เป็นเขาที่ความสูงอยู่ระดับเหนือเมฆ ระหว่างทางก็จะพบว่ารถวิ่งเข้าไปในกลุ่มเมฆบ้าง ถ้าถามว่าอยู่ในเมฆแล้วเป็นไง ก็ธรรมดามาก อาจจะรู้สึกว่าชื้นๆ เล็กน้อย แต่ที่แน่ๆ คือมองอะไรไม่ค่อยเห็นเลย ขาวไปหมด

ทริปนี้ขึ้นเครื่องกลับประมาณ 19.30 แต่เครื่องมีดีเลย์ไปประมาณครึ่งชั่วโมงเพราะมีปัญหาเรื่องการเช็คอินกระเป๋า คนมารอค้างกันเยอะมาก กลับถึงไทยก็ 5 ทุ่มเป็นอันจบทริป!

 


เรื่องอื่นๆ ที่เจอในไต้หวัน

คนไต้หวันขับมอเตอร์ไซค์กันเยอะมาก ส่วนใหญ่ที่เห็นมีแต่ทรงสกู๊ตเตอร์ เยอะพอๆ กับเมืองไทยเลย แต่ที่ดีกว่าคือตามถนนใหญ่เช่นสะพานข้ามแม่น้ำจะมีเลนสำหรับมอเตอร์ไซค์ให้เลย (แต่ถ้าเป็นในเมืองก็ขับรวมกับรถแบบไทยนั่นแหละ) นอกจากนี้ยังมีจักรยานเยอะด้วย ไต้หวันเป็นผู้ผลิตจักรยานส่งออกเลยมีจักรยาน YouBike ซึ่งสามารถไปเช่าด้วยระบบอัตโนมัติ จุดให้เช่ามีหลายร้อยจุดทั่วเมือง และสามารถเช่าจากจุดหนึ่งแล้วไปคืนอีกจุดหนึ่งได้ด้วย ตัวจักรยานเป็นแบบมีเกียร์และไฟหน้า-หลัง แถมมีติด GPS เอาไว้ตรวจสอบตำแหน่งจักรยานอีกด้วย

อีกเรื่องที่ขึ้นชื่อของไต้หวันคือ ชานมไข่มุก หรือ เจินจูหน่ายฉา ที่เป็นออริจินอลของที่นี่ รสชาติจะหวานน้อยกว่าที่ไทยและใส่นมเยอะกว่า ยิ่งถ้าซื้อแบบแก้วสามารถบอกเขาว่าเอาน้ำแข็งน้อย หรือไม่ใส่น้ำแข็งได้ ส่วนที่หายไปจะได้เป็นชานมเติมให้เต็มแก้วแทนด้วย ... แต่เอาจริงๆ ตอนนี้ร้านชานมไข่มุกที่ไทยมีเยอะมาก รสชาติก็เลยไม่ได้รู้สึกแปลกมาก (ประมาณว่าก็ไม่ได้อร่อยกว่าขนาดนั้นหรอกนะ ฮา)

ทั้งทริปที่กินแล้วชอบคือชากระบอก มีขายใน 7-11 มีหลายรส แต่รสมาตราฐานจะเป็นกระบอกสีส้มอ่อนรส Milk Tea .. ส่วนถ้าแบบที่เป็นแก้วก็เป็นร้าน 50嵐 (อ่านว่า 50 Lan) หาง่ายคือป้ายร้านสีเหลือง อันนี้ไปกินที่ย่านตลาดซื่อหลิน แต่รู้สึกว่าร้านนี้จะมาเปิดในไทยเหมือนกันในชื่อ KOI (ละมั้ง?)

อาหารการกินในไต้หวันก็อาหารจีนปกตินั่นแหละ แต่ระดับความมัน (ปริมาณน้ำมัน) จะน้อยกว่าอาหารจีนแท้ๆ ในฝั่งแผ่นดินใหญ่ ของขึ้นชื่ออีกอย่างคือ เสี่ยวหลงเปา อารมณ์คล้ายๆ เกี๊ยวน้ำแป้งหนา ซึ่งเป็นสูตรเดียวกับที่เซี่ยงไฮ้ เพราะตอนเจียงไคเช็คอพยพข้ามมาก็เอาสูตรของทางโน้นมาด้วย

นอกนั้นก็จะเป็นเมนูหมูสามชั้นหรือปลานึ่งแบบอาหารจีน แต่ถ้าเป็นเมนูปลาจะมีที่ขึ้นชื่อคือ "ปลาประธานาธิปดี" หากินได้ที่ทะเลสายสุริยันจันทรา (ได้ชื่อนี้มาเพราะเจียงไคเช็คชอบกิน ... แต่คุณจะชอบกินรึเปล่า คงต้องไปลองกันเอง เราว่ามันก็ปลานึงธรรมดานั่นแหละ ฮา)

วันที่ขึ้นเขาอาหลี่ซานจะมีหม้อไปกับหมั่นโถวให้กินด้วย

อ้อ ไข่ดาวที่นี่ สังเกตมาหลายร้านล่ะ มักจะตีไข่แดงให้แดงและทอดเกรียมนิดๆ ใครชอบไข่ดาวแบบกึ่งสุขกึ่งดิบที่ร้านในไทยของทำมากินอาจจะรู้สึกขัดๆ นิดๆ

ตามร้าน 7-11 จะมีโอเอ้งขายด้วย แล้วส่วนมากจะมีที่ให้นั่งกินเป็นเรื่องเป็นราวเลย เพราะไต้หวันฝนตกเยอะ 7-11 เลยมีกลยุทธ์ในการเรียกลูกค้าคือ ในเมื่อไปไหนไม่ได้ ก็เขามานั่งแช่ในร้าน แล้วก็ซื้ออะไรกินซะเลย

มาเรื่องของห้องน้ำบ้าง ไต้หวันห้องน้ำส่วนใหญ่ก็คล้ายๆ ไทยนั่นแหละ สะอาดระดับใช้ได้โดยไม่อึดอัดอะไร แต่จะไม่มีสายชำระ มีแต่กระดาษชำระอย่างเดียวเลย ถ้าพักโรงแรม อาจจะพบลุ้นได้บ้างว่าโรงแรมนั้นติดชักโครกแบบญี่ปุ่นที่มีน้ำฉีดไว้รึเปล่า (ทริปนี้ไป 5 โรงแรม เจอโรงแรมแบบนี้แค่โรงแรมเดียว)

อ้อ เวลาเข้าร้านค้าที่ไต้หวันเช่น 7-11 ถ้าได้ใบเสร็จมา บนใบเสร็จจะมีเลขรหัสอะไรบ้างอย่างเขียนไว้ มันคือเอาไว้ตรวจหวย! ใช่แล้วจ้า เอาไว้ตรวจหวยได้ ทุกๆ เดือนจะมีการประกาศเลขผู้โชคดี ถ้าเก็บใบเสร็จที่มีเลขนั้นอยู่ก็เอาไปแลกเงินได้ (แต่โอกาสถูก ก็อย่างว่าละนะ น้อยมาก!) เป็นกลยุทธ์ของรัฐบาลที่ให้คนขอใบเสร็จจากร้านค้าทุกครั้งที่ซื้อของ

ทริปเที่ยวประจำปี: ไต้หวันก็ขอจบแต่เพียงเท่านี้


ทริปนี้หาข้อมูลการท่องเที่ยวจาก: หนังสือเที่ยว Taiwan ของ DPlus Guide

544 Total Views 3 Views Today
Ta

Ta

สิ่งมีชีวิตตัวอ้วนๆ กลมๆ เคลื่อนที่ไปไหนโดยการกลิ้ง .. ถนัดการดำรงชีวิตโดยไม่โดนแสงแดด
ปัจจุบันเป็น Senior Software Engineer อยู่ที่ Centrillion Technology
งานอดิเรกคือ เขียนโปรแกรม อ่านหนังสือ เขียนบทความ วาดรูป และ เล่นแบดมินตัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องที่ต้องการถูกทำเครื่องหมาย *